การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองกับโรงเรียน: มากหรือน้อยเกินไป?
อัพเดทล่าสุด: 30 ก.ค. 2025
220 ผู้เข้าชม

การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองกับโรงเรียน: มากหรือน้อยเกินไป?
ในยุคปัจจุบันที่โลกการศึกษากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้ปกครองจำนวนมากเริ่มตระหนักถึงบทบาทของตนในการสนับสนุนการเรียนรู้ของลูก ความหวังที่จะเห็นลูกประสบความสำเร็จทำให้พ่อแม่หลายคนพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมกับโรงเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในขณะเดียวกัน คำถามสำคัญที่มักเกิดขึ้นคือ เราควรเข้าไปมากแค่ไหน? เพราะหากมากเกินไป อาจกลายเป็นการควบคุม และถ้าน้อยเกินไป อาจทำให้ลูกขาดการสนับสนุนที่จำเป็น บทความนี้จะพาทุกท่านสำรวจขอบเขตที่เหมาะสมของการมีส่วนร่วมระหว่างผู้ปกครองกับโรงเรียน พร้อมแนะนำวิธีสร้างสมดุลให้เกิดผลดีที่สุดต่อลูก
การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองคืออะไร? การมีส่วนร่วมในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเพียงการไปร่วมประชุมผู้ปกครองหรือการเซ็นใบงานให้ลูกเท่านั้น แต่รวมถึงการสื่อสารกับครู การติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ของลูก การมีบทบาทในกิจกรรมโรงเรียน รวมถึงการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีในบ้าน
เหตุใดผู้ปกครองจึงควรมีส่วนร่วม? งานวิจัยทั่วโลกยืนยันว่า เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่มีการสนับสนุนด้านการศึกษามักมีผลการเรียนที่ดีขึ้น มีความมั่นใจในตัวเองสูง และสามารถปรับตัวในสังคมโรงเรียนได้ดี ความร่วมมือระหว่างบ้านและโรงเรียนจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเด็กแบบองค์รวม
ความเสี่ยงของการเข้าไปมากเกินไป การเข้าไปมีส่วนร่วมมากเกินไป เช่น การทำการบ้านให้ลูก ควบคุมการเลือกเพื่อน หรือสั่งการครูในทุกเรื่อง อาจทำให้ลูกขาดความมั่นใจในการตัดสินใจ ไม่มีโอกาสเรียนรู้จากความผิดพลาด และรู้สึกว่าไม่มีพื้นที่ในการเติบโตด้วยตนเอง
ตัวอย่างพฤติกรรมที่มากเกินไป เช่น:
- ผู้ปกครองโทรหาครูทุกครั้งที่ลูกมีเรื่องเล็กน้อย เช่น ลืมสมุดการบ้าน
- ตรวจการบ้านและแก้ไขทุกคำผิดแทนลูก
- เข้าไปจัดการปัญหาระหว่างลูกกับเพื่อนโดยตรง โดยไม่ให้ลูกฝึกแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
ความเสี่ยงของการเข้าไปน้อยเกินไป ในทางกลับกัน การปล่อยให้ลูกเผชิญปัญหาโดยลำพัง หรือไม่สนใจว่าโรงเรียนสอนอะไร อาจทำให้ลูกขาดกำลังใจ ขาดการชี้นำ และรู้สึกว่าไม่มีใครอยู่ข้างเขาในเส้นทางการเรียนรู้

ตัวอย่างพฤติกรรมที่น้อยเกินไป เช่น:
- ไม่เคยสอบถามว่าลูกเรียนวิชาอะไรบ้างในแต่ละวัน
- ไม่เข้าร่วมประชุมผู้ปกครอง หรือกิจกรรมใด ๆ ของโรงเรียน
- ไม่สนใจเมื่อครูแจ้งพฤติกรรมที่ต้องปรับปรุงของลูก
วิธีสังเกตว่ากำลัง มากเกินไปหรือน้อยเกินไป
- ลูกไม่กล้าตัดสินใจเอง ต้องรอพ่อแม่ตลอดเวลา
- ลูกมีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือเก็บกดเมื่อต้องกลับบ้าน
- ครูรู้สึกว่าไม่สามารถทำงานได้อย่างอิสระเพราะถูกควบคุมจากผู้ปกครอง
แนวทางสร้างสมดุลที่เหมาะสม
- สื่อสารกับลูกอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่สอบสวนแต่เป็นการพูดคุยเชิงบวก ถามความรู้สึก ประสบการณ์ที่โรงเรียน รวมถึงสิ่งที่ลูกภาคภูมิใจ
- สร้างบรรยากาศในบ้านให้เป็นพื้นที่เรียนรู้ เช่น จัดมุมอ่านหนังสือ เปิดพื้นที่ให้ลูกทดลองและตั้งคำถาม
- เข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนตามสมควร เช่น วันประชุม วันแสดงผลงาน โดยไม่จำเป็นต้องทุกงาน แต่ให้ลูกเห็นว่าเราสนใจจริง
- ฟังครูอย่างเปิดใจ เคารพวิธีการของครู แม้อาจไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง ให้โอกาสพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน
- ถามลูกก่อนให้ความช่วยเหลือ เช่น หนูอยากให้แม่ช่วยตรงไหนไหม? แทนการเสนอทางออกทันที
บทบาทของครูในความร่วมมือกับผู้ปกครอง ครูควรเปิดช่องทางสื่อสารอย่างชัดเจน เช่น การส่งจดหมาย ข่าวสารผ่านไลน์กลุ่ม หรือจัดเวลากลุ่มย่อยพูดคุยกับผู้ปกครอง รวมถึงมีท่าทีเป็นมิตร เปิดรับฟัง ไม่ตัดสินผู้ปกครองที่มีความกังวล
ประโยชน์ของความร่วมมือที่สมดุล เมื่อพ่อแม่กับครูทำงานร่วมกันอย่างเข้าใจ เด็กจะได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียน ทักษะชีวิต หรือสุขภาพจิต เพราะเขาเห็นว่าทั้งสองฝ่ายอยู่เคียงข้าง สนับสนุน และไม่ตัดสินเขาเร็วเกินไป
เสริมความมั่นใจให้ลูกผ่านการมีส่วนร่วมเชิงบวก การให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจบางอย่าง เช่น เลือกกิจกรรมเสริม หรือวางแผนเวลาทำการบ้าน จะช่วยให้เขาเรียนรู้การคิดวิเคราะห์ การรับผิดชอบ และรู้สึกว่าพ่อแม่เคารพในตัวเขา
การเรียนรู้ร่วมกันเป็นรูปแบบที่ดีที่สุด พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง แต่สามารถเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก เช่น อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน ค้นหาข้อมูลออนไลน์ หรือฝึกทำการบ้านร่วมกัน เป็นการสร้างสายสัมพันธ์และลดความกดดัน
สร้างชุมชนผู้ปกครองที่สนับสนุนกัน หากโรงเรียนเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้พบปะ เช่น จัดวงสนทนา การอบรม หรือกลุ่มไลน์แบบมีจรรยาบรรณ จะช่วยสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครอบครัว
การประเมินตนเองของผู้ปกครอง ลองถามตัวเองเป็นระยะว่า ตอนนี้เรากำลังสนับสนุนลูก หรือควบคุมลูกอยู่? หรือ เรากำลังแก้ปัญหาแทนลูก หรือสอนให้เขาแก้ปัญหาเอง? คำถามนี้จะช่วยให้พ่อแม่ปรับจังหวะได้เหมาะสม
การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองกับโรงเรียนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยความเข้าใจ ความยืดหยุ่น และความไว้วางใจ หากพ่อแม่สามารถสร้างความร่วมมืออย่างสมดุล เคารพบทบาทของครู รับฟังลูกอย่างแท้จริง และเชื่อมั่นในกระบวนการเรียนรู้ เด็กจะเติบโตด้วยรากฐานที่แข็งแรงทั้งด้านวิชาการและจิตใจ เพราะท้ายที่สุด โรงเรียนอาจเป็นเวทีของการเรียนรู้ แต่บ้านคือเวทีของความรัก ความมั่นใจ และจุดเริ่มต้นของทุกก้าวที่ลูกกล้าเดิน
Tags :
บทความที่เกี่ยวข้อง
การสร้างแรงจูงใจในเด็กไม่ใช่เพียงการชมเชยหรือให้รางวัลเท่านั้น แต่ต้องเริ่มจากการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความสำเร็จ หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมแรงจูงใจและความรับผิดชอบของเด็กได้อย่างคาดไม่ถึงคือ “กระเป๋าล้อลาก” เพราะช่วยให้เด็กจัดการของใช้เองได้ง่ายขึ้น รู้สึกภูมิใจ และอยากทำกิจวัตรต่าง ๆ ด้วยตัวเองมากขึ้น บทความนี้จะพาไปรู้ว่าเหตุใดกระเป๋าล้อลากจึงช่วยจุดไฟในการเรียนรู้และสร้างแรงผลักดันให้เด็กได้จริง
12 ธ.ค. 2025
เด็กจำนวนมากต้องแบกกระเป๋าที่หนักเกินวัย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหลัง ไหล่ล้า และท่าทางผิดปกติในระยะยาว กระเป๋าล้อลากจึงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ลดแรงกดบนร่างกายเด็ก พร้อมช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางกาย และลดความเสี่ยงของปัญหากล้ามเนื้อในอนาคต บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจประโยชน์ด้านสุขภาพที่แท้จริงจากกระเป๋าล้อลาก
10 ธ.ค. 2025
สำหรับเด็กทุกคน การไปโรงเรียนไม่ได้หมายถึงแค่การเรียนหนังสือ แต่คือ “การเดินทางครั้งแรกของชีวิตจริง” การเข้าสังคมใหม่ การรับผิดชอบต่อของใช้ของตัวเอง การเรียนรู้เวลาตารางเรียน และการสร้างตัวตน นี่คือช่วงเวลาที่ปั้นอนาคตของเขาอย่างแท้จริง และหนึ่งในสิ่งที่ผู้ปกครองอาจมองข้ามไปคือ “กระเป๋านักเรียน” — อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่ดูเหมือนธรรมดา แต่มีผลอย่างลึกซึ้งต่ออารมณ์ ความมั่นใจ และความพร้อมในการเรียนรู้ของเด็กอย่างไม่น่าเชื่อ
4 ธ.ค. 2025











