เมื่อลูกถูกแกล้งในโรงเรียน พ่อแม่ควรทำอย่างไร
อัพเดทล่าสุด: 22 ก.ค. 2025
195 ผู้เข้าชม
เมื่อลูกถูกแกล้งในโรงเรียน พ่อแม่ควรทำอย่างไร
แม่... หนูไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว ประโยคสั้น ๆ ที่อาจสะเทือนใจพ่อแม่ที่สุดเมื่อลูกรักเปิดใจถึงเหตุการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ หนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยคือ การถูกแกล้งหรือรังแกในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นคำพูดถากถาง การล้อเลียน สีหน้าเหยียดหยาม หรือการกีดกันจากกลุ่มเพื่อน สิ่งเหล่านี้ล้วนทำลายความมั่นใจและส่งผลต่อจิตใจเด็กในระยะยาว บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่เข้าใจรูปแบบของการถูกแกล้ง สัญญาณเตือน วิธีพูดคุย และแนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่อยู่เคียงข้างเขาเสมอ
ทำความเข้าใจก่อนว่า การแกล้ง คืออะไร การแกล้ง (Bullying) คือพฤติกรรมที่มีเจตนาทำร้ายผู้อื่นอย่างซ้ำ ๆ ด้วยอำนาจหรืออิทธิพล เช่น รังแกทางร่างกาย ทางวาจา หรือทางสังคม เช่น กีดกันจากกลุ่ม ไม่ชวนเล่น หรือล้อเลียนบนโลกออนไลน์
รูปแบบของการแกล้งที่พบในโรงเรียน
แกล้งทางกาย: ผลัก ดึงของ ทุบตี
แกล้งทางคำพูด: ล้อเลียน ด่าว่า ดูถูก
แกล้งทางสังคม: กีดกัน ไม่ให้เข้ากลุ่ม พูดนินทา
แกล้งทางดิจิทัล: ส่งข้อความแกล้ง แชร์ภาพหรือข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
สัญญาณเตือนที่พ่อแม่ควรสังเกต
ไม่อยากไปโรงเรียน กระทันหันหรือบ่อยผิดปกติ
มีของใช้เสียหายหรือหายเป็นประจำ
อารมณ์เปลี่ยน เช่น เงียบลง หงุดหงิด หรือร้องไห้โดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
ผลการเรียนตกลงแบบไม่มีเหตุผลด้านวิชาการ
ปวดท้อง ปวดหัว หรือมีอาการทางกายโดยไม่มีสาเหตุทางแพทย์
พ่อแม่ควรเริ่มจาก ฟัง อย่างตั้งใจ เมื่อสงสัยว่าลูกอาจถูกแกล้ง อย่ารีบตัดสิน ควรใช้วิธีถามอย่างอ่อนโยน เช่น วันนี้มีเรื่องอะไรที่ทำให้หนูไม่สบายใจไหม หรือ พ่อแม่พร้อมฟังทุกอย่างที่ลูกอยากเล่า การฟังโดยไม่ขัดจังหวะ ไม่ด่วนหาทางแก้ทันที เป็นสิ่งสำคัญมาก
ยืนยันกับลูกว่าเขาไม่ผิด เด็กที่ถูกแกล้งมักรู้สึกว่าเป็นความผิดของตน พ่อแม่ควรย้ำว่า ลูกไม่สมควรถูกปฏิบัติแบบนั้น และ พ่อแม่จะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ คำพูดเหล่านี้ช่วยฟื้นความมั่นใจและลดความรู้สึกโดดเดี่ยว
จดบันทึกและเก็บหลักฐาน หากลูกเริ่มเล่าเรื่องมากขึ้น ให้พ่อแม่จดบันทึกเหตุการณ์ไว้ เช่น วันที่ เวลา สถานที่ ผู้เกี่ยวข้อง หากมีภาพหรือข้อความในแชท ควรเก็บไว้เป็นหลักฐานโดยไม่ลบ
ประสานโรงเรียนอย่างมีสติและเป็นระบบ ควรนัดพบครูประจำชั้น ครูแนะแนว หรือผู้บริหาร เพื่อพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมหลักฐานหากมี หลีกเลี่ยงการโต้เถียงหรือกล่าวโทษ ให้เน้นที่การร่วมมือหาทางแก้ปัญหาเพื่อความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับเด็กทุกคน
สร้างแผนรับมือร่วมกับลูก ช่วยลูกคิดว่าควรทำอย่างไรหากเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก เช่น เดินหนีทันที พูดว่า หยุดเดี๋ยวนี้ แล้วเดินไปหาครู หรือใช้คำพูดเสริมพลัง เช่น หนูมีสิทธิ์ไม่ให้ใครแกล้ง
เสริมทักษะความมั่นใจและกล้าแสดงออก พ่อแม่สามารถฝึกทักษะ Soft Skill เช่น การสบตา พูดด้วยเสียงหนักแน่น การตั้งขอบเขต การตอบโต้เชิงบวก หรือให้ลูกได้เรียนกิจกรรมที่ส่งเสริมความมั่นใจ เช่น ศิลปะ กีฬา ดนตรี หรือการพูดในที่สาธารณะ
สร้างพื้นที่ปลอดภัยที่บ้าน บ้านควรเป็นสถานที่ที่ลูกรู้สึกว่าไม่ต้องกลัวการถูกตัดสิน พ่อแม่ควรเปิดพื้นที่ให้ลูกเล่าเรื่องซ้ำ ๆ ได้โดยไม่เบื่อหน่าย และเสริมกำลังใจอย่างจริงใจทุกครั้ง เช่น แม่ภูมิใจที่ลูกกล้าเล่าเรื่องนี้นะ
เมื่อควรพบนักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญ หากพฤติกรรมของลูกเริ่มแสดงถึงภาวะเครียดสูง เช่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ หรือพูดถึงความตาย ควรรีบปรึกษานักจิตวิทยาเด็กหรือจิตแพทย์เด็กเพื่อรับคำแนะนำเฉพาะทาง
ปลูกฝังเรื่อง ความเห็นอกเห็นใจ กับลูก ใช้โอกาสนี้ในการสอนลูกว่าไม่มีใครสมควรถูกแกล้ง และทุกคนมีสิทธิ์ได้รับความเคารพ ฝึกลูกให้เป็นผู้เห็นอกเห็นใจและกล้าเป็นฝ่ายยุติการกลั่นแกล้ง หากพบว่าเพื่อนถูกแกล้ง
ใช้เหตุการณ์นี้เป็นการสอนเรื่องสิทธิของตนเอง เด็กทุกคนมีสิทธิ์พูดว่า ไม่ เมื่อถูกล่วงละเมิด พ่อแม่สามารถสอนลูกให้เข้าใจเรื่องการล้ำเส้น และการตั้งขอบเขตทั้งทางกายและทางใจ
ทำกิจกรรมที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก กิจกรรมง่าย ๆ เช่น ปั่นจักรยานด้วยกัน อ่านหนังสือ ทำอาหาร หรือดูหนังด้วยกัน เป็นวิธีที่ช่วยให้ลูกรู้สึกมั่นคง และพร้อมเปิดใจเล่าเรื่องต่าง ๆ
สนับสนุนให้ลูกมีเพื่อนหลากหลาย แนะนำให้ลูกเปิดใจเข้าสังคมนอกห้องเรียน เช่น ชมรม กิจกรรมเสริม หรือเพื่อนบ้าน เพื่อให้มีเครือข่ายสนับสนุนหลากหลาย ไม่จำกัดอยู่แค่กลุ่มเดิมที่อาจมีปัญหา
เมื่อลูกถูกแกล้งในโรงเรียน สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การหาคนผิด แต่คือการทำให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่เชื่อใจ เข้าใจ และจะร่วมแก้ปัญหาไปด้วยกัน ทุกคำพูดและการกระทำของพ่อแม่สามารถเป็นกำลังใจสำคัญที่ช่วยให้ลูกฟื้นความมั่นใจ และเรียนรู้วิธีปกป้องตัวเองอย่างสง่างามในอนาคต
Tags :
บทความที่เกี่ยวข้อง
เด็กจำนวนมากต้องสะพายกระเป๋าหนักไปโรงเรียนทุกวัน ทำให้เสื้อเปียกชื้นจากเหงื่อและรู้สึกไม่สบายตัว การเลือกใช้กระเป๋าล้อลากเป็นอีกหนึ่งทางออกที่ช่วยลดการสัมผัสระหว่างกระเป๋ากับแผ่นหลัง เด็กไม่ต้องรับน้ำหนักมากจนร่างกายเกิดความร้อนและเหงื่อออกมากเกินไป ช่วยให้การเดินทางไปโรงเรียนเบาสบายและมั่นใจตลอดวัน
4 ก.ย. 2025
เด็กวัย 9 ขวบอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง การสร้างแรงบันดาลใจเล็ก ๆ จากสิ่งใกล้ตัว เช่น กระเป๋านักเรียนล้อลากที่ใช้งานง่าย ดีไซน์ถูกใจ และช่วยลดความเหนื่อยล้า สามารถเปลี่ยนบรรยากาศการไปโรงเรียนให้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความกระตือรือร้นได้
3 ก.ย. 2025
เด็กชั้นประถมปีที่ 4 กำลังอยู่ในวัยที่เริ่มอยากมีอิสระแต่ก็ยังอ่อนไหวทางอารมณ์ หลายครอบครัวมักเจอปัญหาลูกงอแง ไม่อยากไปโรงเรียน โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกว่าการเดินทางเหนื่อยหรือกระเป๋าหนักเกินไป การมีกระเป๋าล้อลากที่เหมาะสมกับวัย จึงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เด็ก ป.4 เดินทางไปโรงเรียนได้อย่างสบายใจ ไม่รู้สึกว่าต้องแบกภาระหนักจนหมดพลัง
1 ก.ย. 2025